Computer from Chudapa260943
615_com2561_Chudapa_11
วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2561
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2561
ใบงานที่ 5 บทความ
ปัญหาการติดโทรศัพท์ของวัยรุ่น
สถิติการใช้มือถือของคนไทยในปัจจุบัน
เปิดเผยการสำรวจเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของครัวเรือนไทยว่า
ในช่วงปี 2546-2549 ว่า การใช้โทรศัพท์มือถือของคนไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง
3 ปีที่ผ่านมา
ระหว่างปี 2546-2549 โดยในปี 2549 จำนวนคนไทยใช้โทรศัพท์มือถือเพิ่มขึ้นจากปี
2546 เกือบเท่าตัว คือ จากประชากร 100 คน
มีโทรศัพท์มือถือ ใช้ 23 คนในปี 2546 เพิ่มขึ้นเป็น 42 คนในปี 2549
โดยกลุ่มวัยรุ่น
มีสัดส่วนผู้ใช้โทรศัพท์เพิ่มขึ้นประมาณเท่าตัว ซึ่งมากกว่าทุกกลุ่มอายุ
วัยรุ่นไทยมีและใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอันดับ 1ของเอเชีย
และทำสถิติพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถือนานถึง 1.7 ชั่วโมงต่อวัน
วัยรุ่นใช้โทรศัพท์มือถือเพื่ออะไร
ในการใช้โทรศัพท์มือถือของวัยรุ่น
นอกจากใช้ติดต่อสื่อสารแล้วยังใช้บริการอื่นอีก คือ เพื่อส่งข้อความและรูปภาพ
มากที่สุด ร้อยละ 50.0
รองลงมาเป็นโหลดเพลง คิดเป็นร้อยละ 46.4 และเล่นเกมอีกร้อยละ
14.8ร้อยละ
4.8 เล่นอินเทอร์เน็ต
/ แชท วัยรุ่นไทยมีและใช้โทรศัพท์มือถือเป็นอันดับ 1ของเอเชีย
และทำสถิติพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถือนานถึง 1.7 ชั่วโมงต่อวัน
ค่าใช้จ่ายในการใช้มือถือของวัยรุ่น
ค่าใช้จ่ายต่อเดือนเกี่ยวกับโทรศัพท์มือถือ
คือ
น้อยกว่า 500 บาทร้อยละ
54.6
501 -1,000 บาทร้อยละ 35.1 1
1, 001 -1,500 บาทร้อยละ 7.5
มากกว่า 1,500 บาทร้อยละ
2.8
ขณะที่ความคิดเห็นเกี่ยวกับความจำเป็นของโทรศัพท์มือถือในชีวิตประจำวัน
คือเห็นว่าจำเป็นร้อยละ 87.4 เห็นว่าไม่จำเป็นร้อยละ 12.6
ผลเสียต่อสุขภาพที่เกิดจากการติดสมาร์ทโฟน
การก้มมองสมาร์ทโฟนหรือ
แท็บเล็ตบ่อย ๆ เพื่อใช้งาน จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอและหลังส่วนบนเกิดอาการตึง
เกร็ง และทำให้เกิดการเจ็บปวดตามมาได้
การแก้ปัญหาด้วยการยกมือถือขึ้นมาที่ระดับสายตาจะช่วยให้คุณไม่ปวดหลังและคอ
แต่จะทำให้คุณปวดเมื่อยแขนของคุณแทน วิธีแก้ที่ดีที่สุดคือการพบกันครึ่งทาง
ด้วยการยกมือถือขึ้นมาด้วยระยะห่างประมาณครึ่งช่วงแขนและใช้สายตาเหลือบมองลงมาแทนการก้มคอลงมาแบบแทบจะชิดกับหน้าอกของคุณ
แต่ถ้าเป็นไปได้พยายามใช้งานมือถือของคุณในระยะเวลาสั้น ๆ
แต่บ่อยครั้งแทนการใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ
2. ดวงตาแห้ง
ถามตัวเองว่าคุณใช้สายตากับการมองหน้าจออุปกรณ์ต่าง
ๆ ที่มีแสงจ้า (ที่คุณไม่รู้ตัว) กี่ชั่วโมงในแต่ละวัน หรือแต่ละสัปดาห์ ตัวเลขรวมคร่าว ๆ คงทำให้คุณตกใจ
ขณะที่เราเพ่งสายตาเพื่ออ่านอีเมล อ่านข่าว หรือดูคลิปวิดีโอ
เราจะกะพริบตาของเราน้อยลงถึง 1 ใน 3 จากอัตราการกะพริบตาปกติ ซึ่งส่งผลให้ตาของเราเกิดอาการเมื่อยล้าและแห้ง
ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการติดเชื้อจากการระคายเคืองของดวงตาได้
จำไว้ว่าเมื่อต้องจ้องมองหน้าจอ
วิธีการป้องกันไม่ให้ดวงตาของคุณเกิดอาการดังกล่าวคือการพยายามกะพริบตาทุก ๆ 2 - 10 วินาที หรือ 15 - 30 ครั้งต่อนาที
อาจจะฟังดูเยอะ แต่เมื่อทำจนเป็นนิสัยแล้ว
อาการตาแห้งและการระคายเคืองตาของคุณจะลดน้อยลง
3. นอนหลับไม่สนิท
ภาพ (แสง)
และเสียงที่เกิดจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือ หรือคอมพิวเตอร์
สามารถส่งผลกระทบต่อการนอนหลับพักผ่อนของคุณได้
อุปกรณ์ทุกชนิดที่มีหน้าจอส่องสว่างจะทำให้คุณนอนหลับได้ไม่เต็มที่และทำให้ร่างกายพักผ่อนได้ไม่เพียงพอ
โดยแสงและเสียงจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้จะไปหยุดยั้งการทำงานของเมลาโทนิน
(Melatonin) ฮอร์โมนที่ช่วยในการนอนหลับ
นอกจากนี้ยังส่งผลให้ระบบของร่างกายและสมองเกิดอาการแปรปรวนและทำงานผิดปกติ เช่น
สมองล้า หรือร่างกายเผาผลาญได้น้อยลง
สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พวกนั้นก่อนนอนอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง และทางที่ดีคุณไม่ควรเก็บอุปกรณ์ไว้ในห้องนอน เพราะคุณอาจจะห้ามใจตัวเองไม่ไหวหยิบมือถือขึ้นมาเล่น และทำให้คุณนอนช้ากว่าที่ควร หรืออาจอดนอนเพราะเผลอเล่นเกมส์ในมือถือจนลืมดูเวลา
สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ ปิดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์พวกนั้นก่อนนอนอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง และทางที่ดีคุณไม่ควรเก็บอุปกรณ์ไว้ในห้องนอน เพราะคุณอาจจะห้ามใจตัวเองไม่ไหวหยิบมือถือขึ้นมาเล่น และทำให้คุณนอนช้ากว่าที่ควร หรืออาจอดนอนเพราะเผลอเล่นเกมส์ในมือถือจนลืมดูเวลา
4. ความเครียด
แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าอุปกรณ์เทคโนโลยีสุดล้ำสมัยจะทำให้ชีวิตของเราง่ายขึ้น
แต่ในขณะเดียวกันอุปกรณ์เหล่านี้ก็ทำให้พวกเราเกิดความเครียดมากขึ้นตามไปด้วย
ตัวอย่างเช่น เสียงเตือนข้อความหรืออีเมลเข้าที่ดังแทบทุก ๆ นาที จากบรรดาสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตทำให้เราต้องคอยพะวงว่าจะมีใครติดต่อมาอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้สมองของเรายังทำงานหนักเกินไปจากการเสพข่าวและข้อมูลจำนวนมหาศาลจากทั่วทุกมุมโลกผ่านอุปกรณ์ดังกล่าว
ทำให้เราไม่รู้ว่าควรจะให้ความสำคัญกับสิ่งไหนก่อนดี
และสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนี้สามารถทำให้เราเกิดความเครียดได้ทั้งแบบรู้ตัวและแบบไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามคุณสามารถหยุดยั้งความเครียดจากการใช้เทคโนโลยีมากเกินไปได้ด้วยการไม่พึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว เพราะชีวิตของคุณยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าให้ทำอีกเยอะ ปิดเสียงเตือน ปิดเสียงเรียกเข้ามือถือเมื่อคุณต้องการสมาธิ และพยายามใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงอยู่กับเพื่อนหรือครอบครัวโดยไม่แตะต้องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บ้าง
อย่างไรก็ตามคุณสามารถหยุดยั้งความเครียดจากการใช้เทคโนโลยีมากเกินไปได้ด้วยการไม่พึ่งพาเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว เพราะชีวิตของคุณยังมีสิ่งอื่นที่สำคัญกว่าให้ทำอีกเยอะ ปิดเสียงเตือน ปิดเสียงเรียกเข้ามือถือเมื่อคุณต้องการสมาธิ และพยายามใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงอยู่กับเพื่อนหรือครอบครัวโดยไม่แตะต้องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บ้าง
5. กระดูกสันหลังมีปัญหา
การนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน
ๆ อาจทำให้คุณหลังงอ
หรือมีพฤติกรรมที่มีท่านั่งหรือยืนที่ส่งผลต่อกระดูกสันหลังโดยไม่รู้ตัว
เมื่อเวลาเรานั่งร่างกายของเราจะปรับสภาพให้ใช้พลังงานน้อยลงและกล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นลดลงเพราะเราไม่ได้เคลื่อนไหว
ซึ่งการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานานจะทำให้เราเผลอทิ้งน้ำหนักไปที่หลังส่วนล่าง
เมื่อเราขยับตัวอาจทำให้เกิดอาการกดทับของกล้ามเนื้อหรือการเคลื่อนของกระดูกคอหรือหลังส่วนบนได้
หลีกเลี่ยงการโก้งโค้งขณะนั่งที่โต๊ะทำงาน ด้วยการพิงหลังส่วนล่างกับพนักเก้าอี้หรือหมอนรองเก้าอี้ และปรับระดับของหน้าจอให้อยู่ระดับเดียวกับระดับสายตา ถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรือแท็บเล็ต อยู่กับที่โดยไม่ได้ลุกไปไหน ป้องกันการโค้งงอของกระดูกสันหลังของคุณด้วยการวางตั้งอุปกรณ์ของคุณไว้บนโต๊ะ หรือติดตั้งคีบอร์ดเสริมเพื่อให้จอของอุปกรณ์ตั้งฉากกับแนวพื้นโต๊ะ ท่าดังกล่าวจะไม่ทำให้คุณเกิดอาการปวดเมื่อยจากการนั่งผิดวิธีอีกต่อไป
หลีกเลี่ยงการโก้งโค้งขณะนั่งที่โต๊ะทำงาน ด้วยการพิงหลังส่วนล่างกับพนักเก้าอี้หรือหมอนรองเก้าอี้ และปรับระดับของหน้าจอให้อยู่ระดับเดียวกับระดับสายตา ถ้าคุณใช้คอมพิวเตอร์แล็ปท็อปหรือแท็บเล็ต อยู่กับที่โดยไม่ได้ลุกไปไหน ป้องกันการโค้งงอของกระดูกสันหลังของคุณด้วยการวางตั้งอุปกรณ์ของคุณไว้บนโต๊ะ หรือติดตั้งคีบอร์ดเสริมเพื่อให้จอของอุปกรณ์ตั้งฉากกับแนวพื้นโต๊ะ ท่าดังกล่าวจะไม่ทำให้คุณเกิดอาการปวดเมื่อยจากการนั่งผิดวิธีอีกต่อไป
พฤติกรรมแย่ๆจากการใช้มือถือนานๆ
เห่อตามแฟชั่น
นิยมเปลี่ยนมือถือไปตามแฟชั่นเพื่อให้อินเทรนด์ ดูทันสมัย และบ้างก็เปลี่ยนเพื่อให้ดูเป็นคนมีระดับ มีฐานะ ทั้งที่ บางคนแทบจะไม่ได้ใช้เพิ่มเติม จากเดิมเลยก็ตาม
ขาดกาลเทศะ และมารยาท
จากการที่เราไม่ค่อยอดทนรอ
ที่ว่านี่เอง ทำให้หลายๆ ครั้ง เมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้
ก็จะกดโทรศัพท์ไปหาบุคคลที่เราอยากจะพูด อยากถามในทันที ซึ่งบางครั้ง
อาจจะทำให้เขาไม่พอใจ หรือโกรธที่เราไปขัดจังหวะการกิน การนอน การพักผ่อน ฯลฯ ของเขาอยู่ก็ได้
ขาดมนุษย์สัมพันธ์
วัยรุ่นอยู่บ้าน
แทนที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือทำร่วมกับญาติพี่น้อง ก็มักรีบหนีขึ้นห้องโทรไปหาเพื่อน และใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ พอนานๆ ไปความสัมพันธ์ในบ้านก็ห่างเหิน โดยไม่สนใจผู้อื่นอีกต่อไป
วิธีง่ายๆ
ทำยังไงไม่ให้ติดมือถือเกินขนาด
https://th.theasianparent.com/%
1. สำรวจตัวเองดูว่าใช้มือถือมากแค่ไหนต่อวัน
ก่อนที่จะเริ่มแก้ก็ต้องมาเรียนรู้พฤติกรรมของตัวเองกันก่อนนะคะ
ว่าเสพติดสมาร์ทโฟนถึงขั้นไหนแล้ว
โดยให้ลองเข้าไปดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นเพื่อจับเวลาในการใช้งานมือถือของเราพร้อมทั้งตั้งเวลาเพื่อแจ้งเตือนหากเราใช้เวลาจ้องหน้าจอมากเกินไป
แอพพวกนี้ก็มีหลายตัวอย่างเช่น QualityTime บน Play Store หรือ Moment บน Apple App store ค่ะ
และหากพบว่าเราใช้สมาร์ทโฟนมากเกินพอดีแล้วหละก็ให้ลองมาดูวิธีการที่จะลดการใช้งานในข้อต่อๆ
ไปได้เลย
2. ปิดการแจ้งเตือนต่างๆ บนมือถือ
เชื่อว่าหลายๆ
คนคงเป็นกันเวลาที่เราจะวางมือถือลงแล้วแต่กลับมี notification
ต่างๆ เด้งเข้ามา
ก็เป็นธรรมดาที่เราจะอดรนทนไม่ไหวต้องหยิบมือถือขึ้นมาเช็คดูว่ามีใครแชทอะไรมาหรือเม้นต์อะไรไว้
ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ปิดการแจ้งเตือนที่ไม่จำเป็นทิ้งไปเลยค่ะ
แล้วถ้ามีเวลาว่างจริงๆ ค่อยมาไล่ดูย้อนหลังเอา .. เชื่อเหอะว่ามันรอได้
3. ตั้งเวลาออฟไลน์ตัวเองในทุกๆ วัน
จริงๆ
ถ้าลองคิดดูมีหลายช่วงเวลาในชีวิตที่เราไม่จำเป็นต้อง online เลยนะ อย่างเช่น ช่วงเวลาทานอาหารเย็นกับครอบครัว, เวลาออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ
หรือแม้แต่เวลาแช่น้ำเพื่อผ่อนคลาย ลองกำหนดให้ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นช่วง offline ดู
อย่างเช่นลองปิดเสียงมือถือเมื่อกลับบ้านแล้วก่อนจะเปิดอีกครั้งหลังออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน
ง่ายๆ แค่นี้ก็จะช่วยลดอาการติดมือถือลงได้แล้ว
4. อย่าใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุก
จริงๆ
ถ้าจะให้ดีก็คืออย่าเอามือถือเข้าห้องนอนค่ะ เพราะการวางมือถือไว้ข้างเตียงเพื่อใช้เป็นนาฬิกาปลุกแบบนี้สุดท้ายก็จะทำให้เราอดไม่ได้ที่จะหยิบมาดูนั่นดูนี่ก่อนนอน
หรือหลังตื่นนอนอยู่ดี ซึ่งมีการพบว่าเล่นโทรศัพท์ก่อนนอนจึงส่งผลกระทบต่อสุขภาพ
โดยเฉพาะเรื่องการนอนหลับทั้งยังมีผลต่อระดับความเครียดและอาจทำร้ายดวงตาจนอาจไปสู่ภาวะจอประสาทตาเสื่อมได้อีกด้วยนะ
5. ฝึกฝนตัวเองให้พักบ้าง
ถ้าทำตามวิธีข้างต้นแล้วยังไม่ได้ work Dr.
Larry D. Rosen นักจิตวิทยาจาก California
State University ก็เสนอว่าให้ลองฝึกตัวเองดูค่ะ!
โดยวิธีการคือให้เราเปิดมือถือ ดูว่ามีอะไรบ้างที่ปกติเราจะต้องเช็ค เช่น
ใครโทรมาบบ้าง, ข้อความใหม่, chat, social จากนั้นให้ปิด notification ทุกอย่างเอาไว้
ตั้งจับเวลาบนมือถือสัก 15 นาที คว่ำหน้ามือถือลง
เมื่อครบตามเวลาที่กำหนดให้พลิกหน้าจอขึ้นมาดูได้สักสองสามนาทีว่ามีการแจ้งเตือนไหนเข้ามาบ้างไหม
และให้ทำปบบเดิมซ้ำๆ แต่ค่อยๆ เพิ่มเวลาคว่ำหน้าจอไปเรื่อยๆ
จนกว่าจะชินและไม่รู้สึกกังวลเมื่อต้องอยู่ห่างมือถือ
2561 project from Mayureept
วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561
ใบงานที่ 4 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คืออะไร
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนดีกว่าค่ะว่า พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ที่กำลังจะพูดถึงนี้คืออะไร พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็คือพระราชบัญญัติที่ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ค่ะ ซึ่งคอมพิวเตอร์ที่ว่านี้ก็เป็นได้ทั้งคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค สมาร์ตโฟน รวมถึงระบบต่างๆ ที่ถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ด้วย ซึ่งเป็นพ.ร.บ.ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อป้องกัน ควบคุมการกระทำผิดที่จะเกิดขึ้นได้จากการใช้คอมพิวเตอร์ หากใครกระทำความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์นี้ ก็จะต้องได้รับการลงโทษตามที่พ.ร.บ.กำหนดไว้ค่ะ
ปัจจุบันมีคนใช้คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ตโฟนเป็นจำนวนมาก บางคนก็อาจจะใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ แต่บางคนก็อาจใช้สิ่งนี้ทำร้ายคนอื่นในทางอ้อมด้วยก็ได้
เราอาจจะได้ยินข่าวเรื่องการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์อยู่บ้าง ซึ่งบางเหตุการณ์ก็สร้างความเสียหายไม่น้อยเลย เพื่อจัดการกับเรื่องพวกนี้ เลยต้องมีพ.ร.บ.ออกมาควบคุม ในเมื่อการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเรื่องใกล้ตัวเรา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวเราเช่นกันค่ะ หากเราไม่รู้เอาไว้ เราอาจจะเผลอไปทำผิด โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจก็ได้
13 ข้อ พ.ร.บ.คอมพิว 60
1. การฝากร้านใน Facebook, IG ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
2. ส่ง SMS โฆษณา โดยไม่รับความยินยอม ให้ผู้รับสามารถปฏิเสธข้อมูลนั้นได้ ไม่เช่นนั้นถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
3. ส่ง Email ขายของ ถือเป็นสแปม ปรับ 200,000 บาท
4. กด Like ได้ไม่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ ยกเว้นการกดไลค์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถาบัน เสี่ยงเข้าข่ายความผิดมาตรา 112 หรือมีความผิดร่วม
5. กด Share ถือเป็นการเผยแพร่ หากข้อมูลที่แชร์มีผลกระทบต่อผู้อื่น อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ โดยเฉพาะที่กระทบต่อบุคคลที่ 3
6. พบข้อมูลผิดกฎหมายอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเรา แต่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของคอมพิวเตอร์กระทำเอง สามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ หากแจ้งแล้วลบข้อมูลออกเจ้าของก็จะไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น ความเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ที่ให้แสดงความคิดเห็น หากพบว่าการแสดงความเห็นผิดกฎหมาย เมื่อแจ้งไปที่หน่วยงานที่รับผิดชอบเพื่อลบได้ทันที เจ้าของระบบเว็บไซต์จะไม่มีความผิด
7.สำหรับ แอดมินเพจ ที่เปิดให้มีการแสดงความเห็น เมื่อพบข้อความที่ผิด พ.ร.บ.คอมพ์ฯ เมื่อลบออกจากพื้นที่ที่ตนดูแลแล้ว จะถือเป็นผู้พ้นผิด
8. ไม่โพสต์สิ่งลามกอนาจาร ที่ทำให้เกิดการเผยแพร่สู่ประชาชนได้
9. การโพสเกี่ยวกับเด็ก เยาวชน ต้องปิดบังใบหน้า ยกเว้นเมื่อเป็นการเชิดชู ชื่นชม อย่างให้เกียรติ
10. การให้ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เสียชีวิต ต้องไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสียเชื่อเสียง หรือถูกดูหมิ่น เกลียดชัง ญาติสามารถฟ้องร้องได้ตามกฎหมาย
11. การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น มีกฏหมายอาญาอยู่แล้ว ไม่มีข้อมูลจริง หรือถูกตัดต่อ ผู้ถูกกล่าวหา เอาผิดผู้โพสต์ได้ และมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
12. ไม่ทำการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้ใด ไม่ว่าข้อความ เพลง รูปภาพ หรือวิดีโอ
13. ส่งรูปภาพแชร์ของผู้อื่น เช่น สวัสดี อวยพร ไม่ผิด ถ้าไม่เอาภาพไปใช้ในเชิงพาณิชย์ หารายได้
กรณีศึกษา: การทำผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์
หลังจากมีการประกาศใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ฉบับที่ 2 ก็มีเคสที่เข้าข่ายกระทำความผิดพ.ร.บ.ออกมาให้เห็นกันบ้างค่ะ เพื่อสร้างความเข้าใจมากขึ้น เราเลยขอยกตัวอย่างเคสอาจผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์มาให้อ่านกันค่ะ
เคสแรก เป็นเคสที่ออกข่าวอย่างโด่งดังเช่นกัน
เป็นกรณีที่มีชายหนุ่มคนหนึ่งถ่ายรูปตึกที่มีลักษณะเอนๆ
พร้อมโพสต์ข้อความประมาณว่า ตึกทรุดตัว ลงบนเฟสบุ๊ค
เลยทำให้เกิดเป็นประเด็นที่หลายเอาตกอกตกใจไปกันใหญ่ แต่ต่อมาก็มีการเปิดเผยว่า
ตึกที่เห็นนั้นเป็นเพียงดีไซน์ของตึกที่ตั้งใจจะให้เอนแบบนั้นอยู่แล้ว
เลยทำให้เจ้าของโพสต์ถูกตำรวจเรียกสอบสวน เพราะเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ม.14 (2) นำข้อความเท็จเข้าระบคอมพิวเตอร์ อันเป็นเท็จก่อให้เกิดความตื่นตระหนก
อีกกรณีหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็สามารถช่วยคุ้มครองผู้ที่ใช้งานคอมพิวเตอร์หรืออินเตอร์เน็ตได้ด้วย
อย่างเช่นกรณีคดีของคุณบริบูรณ์ เกียงวรางกูล ที่ถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาท และ
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (1) จากการโพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ตำรวจเข้าค้นบ้าน
โดยอ้างอำนาจตาม มาตรา 44
ซึ่งคุณบริบูรณ์ได้ยื่นหนังสือร้องความเป็นธรรมต่อศาลว่า
ปัจจุบันได้มีการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 แล้ว
โดยพ.ร.บ.ดังกล่าวได้ยกเลิกข้อความใน มาตรา 14 ของ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฉบับเดิม และบัญญัติใหม่ไว้ว่า
ห้ามมิให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้ลงโทษกับการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา
จึงขอให้อัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ผลก็คือ
อัยการศาลจังหวัดราชบุรีมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีบริบูรณ์ในข้อหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ
เราก็จะเริ่มเห็นว่า
ได้เริ่มมีการใช้พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กันอย่างจริงจัง
และมีการปรับใช้ให้ตรงตามพ.ร.บ.ที่แก้ไข ไม่ใช่แค่จับกุมผู้ทำผิด
แต่ยังคุ้มครองผู้ที่ไม่มีความผิดในพ.ร.บ.ฉบับที่ 2 แล้ว
8 เรื่องที่ห้ามทำ ผิดกฎหมาย พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
1. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลของผู้อื่นโดยไม่ชอบ (มาตรา 5-8)
หากเข้าไปเจาะข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ของคนอื่น โดยที่เจ้าของข้อมูลไม่ได้อนุญาต (ละเมิด Privacy) หรือในเคสที่เรารู้จักกันดีก็คือ การปล่อยไวรัส มัลแวร์เข้าคอมพิวเตอร์คนอื่น เพื่อเจาะข้อมูลบางอย่าง หรือพวกแฮคเกอร์ ที่เข้าไปขโมยข้อมูลของคนอื่นก็มีความผิดตามพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ค่ะ
บทลงโทษ
- เข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้ง ปรับ
- เข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย: จำคุกไม่เกิน 1 ปีปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
- ดักรับข้อมูลคอมพิวเตอร์: จำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. แก้ไข ดัดแปลง หรือทำให้ข้อมูลผู้อื่นเสียหาย (มาตรา 9-10)
ในข้อนี้จะรวมหมายถึงการทำให้ข้อมูลเสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง เพิ่มเติมข้อมูลของผู้อื่นโดยมิชอบ หรือจะเป็นในกรณีที่ทำให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ อย่างเช่น กรณีของกลุ่มคนที่ไม่ชอบใจกับการกระทำของอีกฝ่าย แล้วต่อต้านด้วยการเข้าไปขัดขวาง ทำร้ายระบบเว็บไซต์ของฝ่ายตรงข้าม ให้บุคคลอื่นๆ ใช้งานไม่ได้ ก็มีความผิด บทลงโทษ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
Shifu แนะนำ
แต่ถ้าเป็นกรณีกระทำต่อระบบหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์ตามมาตร 12 หรือเข้าถึงระบบ ข้อมูลด้านความมั่นคงโดยมิชอบ จะต้องได้รับโทษจำคุก 3-15 ปี และปรับ 6 หมื่น – 3 แสนบาท และถ้าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับ 2 แสนบาท และถ้าเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย ต้องจำคุก 5-20 ปี และปรับ 1-2 แสนบาท
3. ส่งข้อมูลหรืออีเมลก่อกวนผู้อื่น หรือส่งอีเมลสแปม (มาตรา 11)
ข้อนี้ก็เข้ากับประเด็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์ หรือนักการตลาดที่ส่งอีเมลขายของที่ลูกค้าไม่ยินดีที่จะรับ หรือที่รู้จักกันว่า อีเมลสแปม หรือแม้แต่การฝากร้านตาม Facebook กับ IG ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำและยังรวมถึงคนที่ขโมย Database ลูกค้าจากคนอื่น แล้วส่งอีเมลขายของตัวเองค่ะ
บทลงโทษ
ถ้าส่งโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และถ้าส่งโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธตอบรับได้โดยงาน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
Shifu แนะนำ
การทำการตลาดออนไลน์ที่ดี ควรนึกถึงจิตใจของผู้บริโภคเป็นสำคัญค่ะ หากอยากส่งอีเมล ก็ควรที่จะถามความยินยอมจากลูกค้าก่อนว่าเขาต้องการรับข่าวสารจากเราไหม หรือไม่ก็หันมาทำคอนเทนต์ดีๆ อย่าง Inbound Marketing ที่สามารถดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาหาคุณได้ด้วยความเต็มใจค่ะ
หรือหากอยากทราบเทคนิคการขายบนโลกออนไลน์ที่แตกต่างและได้ผล ลองดูบทความทิ้งเทคนิคการขายแบบเดิมๆ เริ่มต้นวิธีใหม่ๆ และทำกำไร 1 ล้านใน 24 ชั่วโมง
4. เข้าถึงระบบ หรือข้อมูลทางด้านความมั่นคงโดยมิชอบ (มาตรา 12)
โพสต์เกี่ยวกับเรื่องการเมืองที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายหรือความมั่นคงต่อประเทศ หรือโพสต์ที่เป็นการก่อกวน หรือการก่อการร้ายขึ้น ก็มีความผิดค่ะ เพราะมาตรา 12 ได้บอกไว้ว่าการเข้าถึงระบบหรือข้อมูลทางด้านความมั่งคงโดยมิชอบ หรือการโพสต์ข้อความในโลกออนไลน์ที่เข่าข่ายข้อมูลเท็จที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ หรือทำให้ประชาชนเกิดอาการตื่นตระหนก และล่วงรู้ถึงมาตรการการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์และนำไปเปิดเผย
บทลงโทษ
- กรณีไม่เกิดความเสียหาย: จำคุก 1-7 ปี และปรับ 2 หมื่น – 1.4 แสนบาท
- กรณีเกิดความเสียหาย: จำคุก 1-10 ปี และปรับ 2 หมื่น – 2 แสนบาท
- กรณีเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย: จำคุก 5-20 ปี และปรับ 1 แสน – 4 แสนบาท
5. จำหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคำสั่งเพื่อนำไปใช้กระทำความผิด (มาตรา 13)
กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ตามมาตรา 5-11 (หรือข้อ 1-3 ในบทความนี้) ต้องจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาตรา 12 ต้องจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
กรณีทำเพื่อเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ มาตรา 12 ต้องจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีผู้นำไปใช้กระทำความผิด ผู้จำหน่ายหรือผู้เผยแพร่ต้องรับผิดชอบร่วมด้วย
6. นำข้อมูลที่ผิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ (มาตรา 14)
ในความผิดมาตรา 14 จะระบุโทษการนำข้อมูลที่เปิดพ.ร.บ.เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ข้อความผิดด้วยกันคือ
- โพสต์ข้อมูลปลอม ทุจริต หลอกลวง (อย่างเช่น ข่าวปลอม โฆษณาธุรกิจลูกโซ่ที่หลอกลวงเอาเงินลูกค้า และไม่มีการส่งมอบของให้จริงๆ เป็นต้น)
- โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่งคงปลอดภัย
- โพสต์ข้อมูลความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง ก่อการร้าย
- โพสต์ข้อมูลลามก ที่ประชาชนเข้าถึงได้
- เผยแพร่ ส่งต่อข้อมูล ที่รู้แล้วว่าผิด (อย่างเช่น กด Share ข้อมูลที่มีเนื้อหาเข้าข่ายความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ก็มีความผิดค่ะ )
บทลงโทษ
หากเป็นการกระทำที่ส่งผลถึงประชาชน ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากเป็นกรณีที่เป็นการกระทำที่ส่งผลต่อบุคลใดบุคคลหนึ่ง ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 6 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ (แต่ในกรณีอย่างหลังนี้สามารถยอมความกันได้)
Shifu แนะนำ
ผู้ให้บริการมีหน้าที่เก็บข้อมูลการใช้งานไม่น้อยกว่า 90 วัน ในกรณีที่จำเป็น ศาลอาจสั่งให้เก็บข้อมูลเพิ่มได้ไม่เกิน 2 ปี
7. ให้ความร่วมมือ ยินยอม รู้เห็นเป็นใจกับผู้ร่วมกระทำความผิด (มาตรา 15)
กรณีนี้ถ้าเทียบให้เห็นภาพชัดๆ ก็เช่น เพจต่างๆ ที่เปิดให้มีการแสดงความคิดเห็น แล้วมีความคิดเห็นที่มีเนื้อหาผิดกฎหมายก็มีความผิดค่ะ แต่ถ้าหากแอดมินเพจตรวจสอบแล้วพบเจอ และลบออก จะถือว่าเป็นผู้ที่พ้นความผิด
บทลงโทษ
แต่ถ้าไม่ยอมลบออกต้องได้รับโทษ ถือว่าเป็นผู้กระทำความผิดตามมาตร 14 ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกันผู้โพสต์ หรือแสดงความคิดเห็นทางออนไลน์ แต่ถ้าผู้ดูแลระบบพิสูจน์ได้ว่า ตนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการแจ้งเตือนแล้วไม่ต้องรับโทษ
8. ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงภาพ (มาตรา 16)
http://abc.norporchoreu.com/?tag=%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B8%AF
ความผิดข้อนี้ แบ่งออกเป็น 2 ประเด็นหลักคือ
• การโพสต์ภาพของผู้อื่นที่เกิดจากการสร้าง ตัดต่อ หรือดัดแปลง ที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อย่างเช่นกรณีที่เอาภาพดาราไปตัดต่อ และตกแต่งเรื่องขึ้นมา จนทำให้บุคคลนั้นเกิดความเสียหาย ก็ถือว่ามีความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ค่ะ
• การโพสต์ภาพผู้เสียชีวิต หากเป็นการโพสต์ที่ทำให้บิดามารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย
บทลงโทษ
หากทำผิดตามนี้ ต้องได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 2 แสนบาท
วิดีโอเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
วิดีโอเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
กิจกรรมที่ 1 โครงร่างโครงงานคอมพิวเตอร์
Computer from Chudapa260943
-
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ https://ictlawcenter.etda.or.th/news/detail/computer-2559 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ คืออะไร ก่อนอื่นเรา...
-
Computer from Chudapa260943